top of page
ค้นหา

การทำเหมืองแร่หายากในพม่าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก–ไทย

  • รูปภาพนักเขียน: มูลนิธิต้นไม้สีเขียว
    มูลนิธิต้นไม้สีเขียว
  • 26 พ.ค.
  • ยาว 3 นาที
ree

การทำเหมืองแร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements – REEs) ในประเทศพม่าโดยเฉพาะรัฐกะฉิ่น เป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญในปัจจุบัน เพราะเป็นแหล่งหนัก (Heavy REE) ขนาดใหญ่ของโลกและมีการเข้าไปเกี่ยวข้องของจีนเป็นหลัก. การเมืองและความมั่นคงในพื้นที่นี้มีความซับซ้อน หลังการรัฐประหาร พม่าเกิดความขัดแย้งรุนแรง กลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ (เช่น กองทัพปลดปล่อยกะเหรี่ยง, กองกำลังว้า, KIA) จึงกุมอำนาจในแหล่งเหมืองบางส่วน เช่น พื้นที่ปางวาและจิบเว ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนกลุ่มน้อยที่สนับสนุนกองทัพรัฐ. การเข้าควบคุมพื้นที่เหล่านี้โดยกลุ่มกบฏกะฉิ่น (KIA) ในปี 2567–2568 ทำให้มีแร่หายากไหลเข้าสู่ตลาดโลกลดลงอย่างมาก และเป็นช่องทางต่อรองทางการเมืองกับจีนที่สนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าอยู่


แนวโน้มการทำเหมืองแร่หายากในพม่าและบทบาทของจีน


1) จุดสำคัญทางภูมิศาสตร์และการควบคุมเหมือง: แหล่งแรร์เอิร์ธหลักของพม่าตั้งอยู่ในรัฐกะฉิ่น (เขตปางวา-จิบเว) ใกล้กับจีน ฝ่ายกองทัพปลดปล่อยกะฉิ่น (KIA) ได้ยึดเมืองปางวาเมื่อ ต.ค.2567 และควบคุมเหมืองในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่กลุ่มติดอาวุธอื่น (NDA-K, กองกำลังว้า) ก็มีบทบาทควบคุมเหมืองบางส่วน. ช่วงเวลาดังกล่าว พม่าเป็นผู้ส่งออก Heavy REE อันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกออกไซด์ Rare Earth ให้จีนถึง ~50,000 ตันในปี 2566 มากกว่าวงเงินผลิตภายในจีน (19,000 ตัน). ภาพถ่ายดาวเทียมจากองค์กรวิจัยต่างชาติชี้ให้เห็นว่าเหมืองใหม่และถนนสายขนส่งแร่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในกะฉิ่น


2) บทบาทของจีนและผู้ซื้อรายอื่น: จีนมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่หายากโลก ทั้งในเชิงการลงทุนและการประมวลผลแร่ China ควบคุมกำลังการผลิตแร่หายากของโลกกว่า 90% และได้ลงทุนในเหมืองของพม่าตั้งแต่ก่อนปี 2018. ข้อมูลล่าสุดแสดงว่าในปี 2023 การนำเข้า Heavy REE ของจีนจากพม่าพุ่งเป็น 41,700 ตัน (เกือบเท่าตัวของปี 2021) ซึ่งหนุนให้พม่ากลายเป็นแหล่งหลักขององค์ประกอบหายากเหล่านี้. นอกจากนี้มีรายงานว่าอินเดียให้ความสนใจสำรวจแหล่งแรร์เอิร์ธในรัฐกะฉิ่นด้วยเช่นกัน


3) กระบวนการผลิตและผลกระทบสิ่งแวดล้อม: การทำเหมืองแร่หายากโดยทั่วไปต้องใช้กรดฉีดลงในชั้นหิน (in-situ leaching) เพื่อสกัด Rare Earth ออกมาผ่านสระตะกอนของเสียกรด และปล่อยน้ำเสียเข้าแหล่งน้ำตามธรรมชาติ. กระบวนการนี้ก่อมลพิษหนักต่อดิน น้ำ และนิเวศท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การใช้กรดเพื่อสกัดแร่ได้ก่อให้เกิดมลพิษในรัฐกะฉิ่นและแหล่งน้ำใกล้เคียงจนชุมชนได้รับผลกระทบ (ผื่นคัน ปัญหาระบบทางเดินหายใจ)


ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดห่วงโซ่อุปทาน


1) อุปสงค์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะสม: แร่ธาตุหายากเป็นส่วนผสมสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (สมาร์ทโฟน, เสาอากาศ 5G), ยานยนต์ไฟฟ้า (มอเตอร์ใช้แม่เหล็กที่ผสม Neodymium, Dysprosium ฯลฯ), และเครื่องจักรกลพลังงานสะอาด (กังหันลม, มอเตอร์ไฟฟ้า). ยกตัวอย่างงานวิจัยพบว่า “การใช้ Heavy REE ที่มาจากเมียนมาในมอเตอร์ EV ของบริษัทชั้นนำตะวันตกหลายรายเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้”. ช่วงปีสองปีนี้ โลกเพิ่มการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการ Rare Earth สูงขึ้นต่อเนื่อง (โครงการระหว่างประเทศชี้ว่า EV มีอัตราการใช้ Rare Earth สูงที่สุดในตลาดโลกขณะนี้)

2) ความผันผวนของราคาและอุปทาน: เหตุการณ์กบฏยึดเหมืองในพม่าได้เร่งให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก การส่งออกแร่จากพม่าที่ลดลงอย่างมากทำให้ราคา Rare Earth หนักหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น เช่น terbium oxide (ส่วนผสมหนึ่งในแม่เหล็ก) ราคาปรับตัวขึ้นถึง 21.9% ในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568. ผลกระทบดังกล่าวขยายไปถึงอุตสาหกรรมผู้ผลิตแม่เหล็กและเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่ยังพึ่งพาโรงงานผลิตในจีนอยู่ (ราว 92% ของแม่เหล็กถาวรผลิตในจีน)

3) การตอบสนองทางภูมิรัฐศาสตร์: ปัจจัยนี้ทำให้หลายประเทศเร่งวางแผนเสริมความมั่นคงของอุปทาน Rare Earth เช่น สหรัฐฯ และ EU ต่างผลักดันโครงการค้นหาแหล่งใหม่ และยกเลิกการพึ่งพาแหล่งเดียว (derisking). EU ประกาศมองหาแหล่งวัตถุดิบสำคัญในอาเซียน (รวมถึงแร่มาเลเซีย เวียดนาม) เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน. ขณะเดียวกัน จีนก็มีมาตรการควบคุมการส่งออก Rare Earth บางชนิด เพื่อเป็นแรงกดดันทางการค้า เช่นเพิ่มการใช้ Rare Earth เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์เหมือนในปี 2010 ที่ยกเลิกส่งออกไปยังญี่ปุ่น


ผลกระทบต่อประเทศไทย


1) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการพึ่งพาแหล่งนำเข้า: ประเทศไทยมีการใช้ Rare Earth ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (เป็นฐานการผลิต EV ในอาเซียน) อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์สื่อสาร แม้ไทยจะพอมีการผลิต Rare Earth บ้าง (โดยเป็นผลพลอยได้จากเหมืองดีบุก-วุลแฟรม) แต่ส่วนแบ่งการผลิตโลกยังน้อยมาก (ประมาณ 0.84% ในปี 2562). กล่าวคือ ไทยไม่สามารถพึ่งพาแหล่งผลิตในประเทศได้มากนัก จึงต้องนำเข้า Rare Earth บางตัวจากต่างประเทศ เช่น จีนหรือประเทศอื่นในอาเซียน. การเปลี่ยนแปลงราคาและความไม่แน่นอนในตลาดโลกจึงส่งผลต่อราคาสินค้าไฮเทคของไทยโดยอ้อม เช่น ต้นทุนการผลิตแม่เหล็กไฟฟ้าในมอเตอร์ EV และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์. (ดูตารางสรุป ส่วนแบ่งการผลิต Rare Earth ของบางประเทศ ประกอบ)

2) ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ: การทำเหมือง Rare Earth ใกล้ต้นน้ำกกของพม่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนักและสารพิษเข้าสู่แม่น้ำสายสำคัญของไทย เช่น แม่น้ำกกที่ไหลผ่านแม่อาย-เชียงราย สู่น้ำประปา การเกษตร และแม่น้ำโขง. กลุ่มสิ่งแวดล้อมเตือนว่า ปัจจุบันมีการตรวจพบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกซึ่งอาจมาจากกิจกรรมเหมืองเหวี่ยงกรดของพม่า. อีกทั้งกระบวนการทำเหมืองที่ไม่ผ่านการควบคุมย่อมส่งผลเสียต่อชีวิตชุมชนชายแดนฝั่งไทย เช่น ไม่มีปลาชุกชุมในแหล่งน้ำที่รับน้ำจากพม่า

3) ความมั่นคงด้านพรมแดนและการเมืองภาคพื้น: เหมืองแร่หายากส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลพม่าควบคุมไม่เต็มที่ เช่น ภายใต้กองกำลังว้า (UWSA) หรือ KIA การดำเนินการใดๆ จึงซับซ้อน ต้องประสานกับกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ ทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงจากความขัดแย้งข้างเคียง (เช่น ปัญหาแรงงานข้ามชาติโล๊ะถกลเล็ด, ตลาดมืดอาวุธ) ได้ง่ายขึ้น. นอกจากนี้ ไทยต้องติดตามแนวนโยบายของประเทศใหญ่เช่นจีนที่ขยายอิทธิพลการลงทุนในพม่า เพราะอาจผูกมัดเศรษฐกิจไทยทางอ้อม เช่น หากจีนกักตุนแร่หายากเพื่อเป็นเครื่องมือบีบคั้นทางเศรษฐกิจ ก็อาจกระทบเวนคืนวัตถุดิบห่วงโซ่อุปทานของไทยได้


โอกาสและความท้าทายจากนโยบายต่างประเทศของประเทศอื่น


1) จีน: ปัจจุบันจีนครอบครองห่วงโซ่การผลิตแร่หายากโลก โดยนโยบายภายในอาจส่งผลต่อการส่งออก Rare Earth ไปยังไทยโดยอ้อม เช่น หากจีนขยายมติส่งออกโควต้า Rare Earth หรือใช้มาตรการกีดกันการค้า ไทยที่เป็นผู้ใช้อาจต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการขาดแคลนวัตถุดิบ

2) สหรัฐฯและพันธมิตร (EU, ญี่ปุ่น): มีแนวนโยบายส่งเสริมความหลากหลายของแหล่งวัตถุดิบ และลงทุนในซัพพลายเชนใหม่ เช่น โครงการ Critical Minerals และ Global Gateway. ความร่วมมือระหว่างประเทศเหล่านี้เปิดโอกาสให้ไทยร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน อาทิ การตั้งหุ้นส่วนเทคโนโลยีสะอาด (ลงทุนโรงแยกแร่ในอาเซียน) หรือข้อตกลงค้าขายที่รวมเงื่อนไขซัพพลายเชน

3) อินเดียและอาเซียน: อินเดียกระชับความร่วมมือกับญี่ปุ่นและออสเตรเลียเพื่อพัฒนาแหล่ง Rare Earth ในประเทศของตน รวมถึงเจรจาสำรวจในทะเลลึก ทำให้มีช่องทางซัพพลายใหม่ๆ ที่ไทยสามารถร่วมศึกษาได้. การขยายบทบาทอาเซียนในซัพพลายเชนโลกอาจช่วยไทยหาแหล่ง Rare Earth ใกล้บ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย (มีแหล่ง Light/Heavy Rare Earth)


แนวทางเชิงนโยบายและมาตรการของไทย


ประเทศไทยควรปรับยุทธศาสตร์ให้สอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยแนวทางหลักดังนี้:

1) จัด Rare Earth เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์: กำหนด Rare Earth เป็นแร่สำคัญของชาติ ทำให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติ เช่น การออกประกาศบัญชี Critical Minerals, การสำรองวัตถุดิบสำคัญ (Strategic stockpiles) ตามแนวทางที่ IEA แนะนำ. อาจพิจารณาจัดตั้งกองทุนหรือโครงการรัฐร่วมกับเอกชนเพื่อสำรอง Rare Earth บางชนิดไว้ลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา

2) ส่งเสริมการรีไซเคิลและเทคโนโลยีทดแทน: พัฒนาเทคโนโลยีแยกแร่จากของเสีย (e-waste, กระบวนการผลิต) เพื่อเสริมแหล่งภายในประเทศ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแร่หายากจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น การสกัดนีโอโดเมียมจากแม่เหล็กเก่า). การสนับสนุนหน่วยงานวิจัย เช่น มหา’ลัยและสถาบันวิทยาศาสตร์ ให้ต่อยอดเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า

3) กระจายแหล่งจัดหา (Diversification): ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อจัดหาวัตถุดิบแร่หายาก เช่น เข้าร่วมโครงการลำดับห่วงโซ่วัตถุดิบสะอาด (เช่น EU Global Gateway, Quad Critical Minerals), ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยลงทุนในโครงการผลิต/แปรรูปแร่ในอาเซียน (เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย). ควรใช้เวทีอาเซียน (เช่น ASEAN Minerals Cooperation) ประสานข้อตกลงด้านทรัพยากรวัตถุดิบกับประเทศเพื่อนบ้าน

4) ติดตามและปกป้องสิ่งแวดล้อม: เร่งตรวจวัดคุณภาพน้ำในพื้นที่ชายแดนทั้งไทย-พม่า และจัดทำแนวป้องกันมลพิษ (กรองสารพิษ) ในแม่น้ำสำคัญ. สร้างกลไกประสานกับองค์กรสิ่งแวดล้อมนานาชาติ เช่น International Rivers เพื่อเฝ้าระวังการทำเหมืองของพม่าและเปิดเผยข้อมูลพิษจากดาวเทียมให้สาธารณชนทราบ. กรณีจำเป็น ให้มีการเจรจาทางการทูตผ่านกลไกอาเซียนหรือสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าหยุดเหมืองที่เสี่ยงต่อไทย.

5) พัฒนาขีดความสามารถภายใน: รัฐบาลควรส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุทดแทน Rare Earth ในอุตสาหกรรม (เช่น แม่เหล็กเฟอร์ไรท์ในมอเตอร์ EV) เพื่อไม่ต้องพึ่ง Rare Earth เสมอไป. นอกจากนี้ ควรกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการไทยทำ Due Diligence ซัพพลายเชน Rare Earth ของตนเอง เพื่อลดการซื้อแร่จากแหล่งผิดกฎหมายหรือมีผลกระทบสิ่งแวดล้อม

6) สร้างการรับรู้และเครือข่ายความร่วมมือ: จัดให้มีการประชุมวิชาการหรือเวทีหารือร่วมกับภาคธุรกิจและนักวิชาการ (แม้จะเป็นภาษาอังกฤษหรือไทย) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวทางจัดการ Rare Earth. รวมถึงให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงของ Rare Earth เพื่อปฏิบัติตนถูกต้องและเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรม


ด้วยการดำเนินมาตรการข้างต้นอย่างจริงจัง รัฐบาลไทยจะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางวัตถุดิบสำหรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และลดผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชนโลกได้ในระยะยาว

โดย นริศกร ปัญญาสุนทร มูลนิธิต้นไม้สีเขียว


บรรณานุกรม

  1. Global Witness. (2023). Heavy Rare Earths and Heavy Consequences: How China's Exploitation of Myanmar's Rare Earth Resources is Devastating Local Communities and the Environment. https://www.globalwitness.org

  2. Myanmar Witness. (2024). Rare Earth Mining in Kachin State: Environmental and Human Security Impacts. Open-source investigative report. https://www.myanmarwitness.org

  3. Reuters. (2024). “China’s rare earth imports from Myanmar slump as conflict shuts mines.” https://www.reuters.com

  4. Irrawaddy. (2024). “Kachin Rebels Seize Rare Earth Town, Disrupting Supply to China.” https://www.irrawaddy.com

  5. United States Geological Survey (USGS). (2019). Mineral Commodity Summaries: Rare Earths. *https://pubs.usgs.gov/periodicals/mcs2020/mcs2020-rare-earths.pdf

  6. International Energy Agency (IEA). (2022). The Role of Critical Minerals in Clean Energy Transitions. *https://www.iea.org/reports/the-role-of-critical-minerals-in-clean-energy-transitions

  7. European Commission. (2023). Critical Raw Materials Act and Strategic Partnerships. *https://ec.europa.eu

  8. GIZ & ERIA. (2022). ASEAN Mineral Cooperation and Supply Chain Resilience in the Age of Decoupling.

  9. กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่. (2565). รายงานแนวโน้มการผลิตและนโยบายแร่ธาตุหายากของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงอุตสาหกรรม.

  10. ศูนย์ศึกษานโยบายพลังงานแห่งจุฬาฯ (CEP). (2564). วัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด: ความเสี่ยงและยุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  11. Earth Rights International. (2024). Toxic Trade: Rare Earth Mining and Water Pollution in the Salween and Kok River Basin. *https://earthrights.org

  12. สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO). (2566). แร่หายากในประเทศไทยและบทบาทในเศรษฐกิจสีเขียว. เอกสารเผยแพร่เพื่อการเรียนรู้.

  13. BBC Thai. (2025). เศรษฐกิจสีเขียว กับการควบคุมทรัพยากรหายากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. *https://www.bbc.com/thai

 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page