เหมืองสีเขียวหรือบ่อนทำลาย? เปิดโปงความย้อนแย้งของ Rare Earth Elements
- มูลนิธิต้นไม้สีเขียว
- 26 พ.ค.
- ยาว 2 นาที

การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 อย่างรถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม หรือสมาร์ทโฟน ก่อให้เกิดความต้องการ Rare Earth Elements (REEs) ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แร่กลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นหัวใจของแม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่ ลำแสงเลเซอร์ และเซ็นเซอร์ขั้นสูง กระนั้น หากมองให้ลึกลงไป เบื้องหลังคำโฆษณา “สีเขียว” ของเศรษฐกิจหมุนเวียน กลับซุกซ่อน “ต้นทุนสีเทา” ที่สร้างความเสียหายต่อธรรมชาติ ชุมชน และความมั่นคงระหว่างประเทศไว้อย่างน่ากลัว รายงานฉบับนี้จะพาไปสำรวจภาพรวมตลาด REEs ผลกระทบเชิงนิเวศ–สังคม โดยเฉพาะบทบาทของเมียนมาในฐานะแหล่ง HREEs สำคัญ และแนวทางแก้ไขเพื่อให้ “พลังงานสะอาด” แท้จริงไม่เกิดบนซากสิ่งแวดล้อม
1. พลวัตตลาดและ “ความขัดแย้งสีเขียว”
ตลาด REEs โลกมีมูลค่ากว่า 9–16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในทศวรรษหน้าโดย CAGR ราว 9–10% เหตุผลสำคัญมาจากความต้องการวัสดุสมรรถนะสูงในอุตสาหกรรม EV กังหันลม และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น นีโอดิเมียม (Nd) ในแม่เหล็กถาวร ปรากฏการณ์นี้กลายเป็น “การตื่นทองสีเขียว” (Green Gold Rush) ที่กระตุ้นให้หลายประเทศแสวงหา REEs อย่างบ้าคลั่ง แต่อุปสงค์มหาศาลกลับใช้วิธีการสกัดที่สร้างมลพิษสามัญทั้งฝุ่นกรด ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กากกัมมันตรังสี และน้ำเสียด้วยกระบวนการเปิดเหมือง หรือ In-situ Leaching (ISL) ที่ใช้สารเคมีรุนแรงเช่น แอมโมเนียมซัลเฟต
“ความขัดแย้งสีเขียว” จึงเกิดขึ้น เมื่อการแก้วิกฤตโลกร้อนกลับสร้างวิกฤตสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น เพราะภาครัฐและเอกชนมักมองข้ามต้นทุนด้านนิเวศวิทยาและสังคมที่ยากจะประเมิน มนุษย์หรือระบบนิเวศในพื้นที่ผลิตจึงต้องแบกภาระขยะพิษและโรคภัยจากโลหะหนักอย่างไม่เป็นธรรม
2. เมียนมา: “พรมแดนพลังงานสะอาด” ที่ไร้มาตรฐาน
แม้จีนจะขึ้นแท่นผู้นำการแปรรูป REEs กว่า 80–90% ของโลก กลับเลือกใช้เมียนมาเป็นโรงงานขุดนอกชายฝั่ง สกัดแร่หายากชนิดหนัก (HREEs) เช่น ไดสโพรเซียม (Dy) และเทอร์เบียม (Tb) โดยเมียนมาอยู่ในอันดับ 4 ของการผลิตเหมืองโลก (ประมาณ 12,000 ตัน ในปี 2565) แหล่งผลิตหลักกระจุกตัวในรัฐคะฉิ่น ชายแดนติดยูนนาน เกิดเหมืองขนาดเล็ก–กลางกว่า 370 แห่ง บ่อเก็บสารละลายกว่า 2,700 แห่งที่ใช้เก็บสารแอมโมเนียมซัลเฟตเพื่อชะล้างแร่ โดยแทบไม่มีมาตรการควบคุม
ตั้งแต่รัฐประหารปี 2564 เหมืองในรัฐคะฉิ่นเพิ่มขึ้นสามเท่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้า การฉีดสารเคมีลงดินซ้ำซากจึงก่อให้เกิดกรดรั่วไหล โลหะหนัก และกากกัมมันตรังสีซึมลึกลงสู่ใต้ดินและน้ำผิวดิน ผลักดันให้พื้นที่ป่าไม้ถูกถางจนโล่ง ดินเกิดการกัดเซาะ และภูเขาถล่มบ่อยครั้ง เกิดดินยุบกว่า 35 ครั้งในปี 2567 มีคนงานเสียชีวิตนับสิบ เผยให้เห็นว่า เทคโนโลยี ISL แม้จะอ้างว่ารบกวนพื้นผิวน้อย แท้จริงกลับเป็นการปลดปล่อยมลพิษใต้ดินรุนแรงยิ่งกว่า
3. บาดแผลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
การปนเปื้อนทางเคมีของระบบน้ำเป็นความโหดร้ายที่สุด ชุมชนในรัฐคะฉิ่นจำนวนมากสูญเสียลำธาร น้ำบาดาล และแหล่งน้ำดื่ม เพราะระดับสารหนู (As) แคดเมียม (Cd) และปรอท (Hg) สูงเกินค่ามาตรฐาน ได้รับผลกระทบทั้งโรคทางเดินอาหาร ปัญหาผิวหนัง ปัญหาระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงกระดูกพรุนและมะเร็ง ความพยายามฟื้นฟูพื้นที่ต้องใช้เวลา 50–100 ปี หรืออาจไม่ฟื้นกลับมาเช่นเดิม ชุมชนประมงขนาดเล็กต้องเลิกจับปลา เกษตรกรสูญเสียพื้นที่เพาะปลูก ขณะเดียวกันการตึงเครียดทางสังคมลุกลาม เมื่อรายได้จากเหมืองหล่อเลี้ยงทั้งกองทัพเมียนมาและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ เช่น KIO/A และ NDA-K จน REEs ถูกขนานนามเป็น “แร่ความขัดแย้ง”
4. ผลกระทบข้ามพรมแดนถึงประเทศไทย
มลพิษจากรัฐคะฉิ่นไหลลงสู่ลุ่มน้ำสายสำคัญของเมียนมาอย่างอิรวดี และแม่น้ำกกส่งต่อมายังไทย สถาณการณ์ในอำเภอเมืองและแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตรวจพบ As ในแม่น้ำกก 0.026 มก./ล. (เกินมาตรฐาน 0.01) และ Hg 0.076 มก./ล. (เกิน 0.05) ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าใช้ประโยชน์จากแม่น้ำเพื่อดื่ม อาบ หรือจับปลา สร้างโรคทางเดินอาหาร โรคผิวหนัง โรคกระดูกพรุน รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและงบฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่สูงลิบ
นอกจากนี้ ภัยแล้งช่วงหน้าแล้งทำให้สารเคมีตกค้างเข้มข้นขึ้น ในฤดูฝน สารพิษกระจายไกลสู่พื้นที่ลุ่มต่ำ กระทบผลผลิตข้าวผัก และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ริมแม่น้ำกกลดฮวบเมื่อนักท่องเที่ยวเลี่ยงพื้นที่ มีการแจกจ่ายน้ำดื่มบรรจุขวดโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
5. ภูมิรัฐศาสตร์ของห่วงโซ่อุปทาน
จีนผูกขาดโรงงานแปรรูป REEs ทั่วโลก ขณะเดียวกันพึ่งพาเมียนมาเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักกว่า 57% ของการนำเข้าแร่หายากหนัก เมื่อภูมิภาคเหนือของเมียนมาเกิดความไม่สงบหรือภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวปี 2568 ทำให้ราคา Dy₂O₃ พุ่งกว่า 32% ภายในสองสัปดาห์ ตลาดโลกจึงเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงในเหมืองห่างไกลเหล่านี้
เพื่อรับมือ สหรัฐฯ ประกาศนโยบายกระจายแหล่งที่มา สนับสนุนการสำรวจและแปรรูปในประเทศ ส่วน EU ผ่านกฎหมาย Critical Raw Materials Act กำหนดเป้าหมายภายในปี 2573 ให้สกัดภายใน 10% แปรรูป 40% และรีไซเคิล 25% ของการบริโภคภายใน พร้อมจำกัดซัพพลายเออร์รายเดียวไม่เกิน 65%
6. แนวทางสู่การจัดหาอย่างยั่งยืน
กระจายแหล่งที่มา
สนับสนุนโครงการขุดในแคนาดา ออสเตรเลีย บราซิล ชิลี กรีนแลนด์ และพัฒนาห่วงโซ่อุปทานนอกจีน–เมียนมา
เศรษฐกิจหมุนเวียน
เพิ่มอัตรารีไซเคิล REEs จาก e-waste ปัจจุบันเพียง 1% ควรพัฒนาเทคโนโลยี biomining, electrokinetic, agromining เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้ 30–50%
มาตรฐานสากล–ตรวจสอบสถานะ
นำแนวปฏิบัติ OECD ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ความขัดแย้ง และ UNGPs มาบังคับใช้ มีกลไกตรวจย้อนกลับจากเหมืองถึงโรงงานปลายน้ำ พร้อมกลไกร้องเรียนอิสระ
ความร่วมมือไทย–เมียนมา
จัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคีเพื่อตรวจคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน ติดตั้งสถานีวัดอัตโนมัติ เชื่อมข้อมูลเรียลไทม์ พร้อมเจรจา Transboundary EIA เพื่อผ่อนปรนผลกระทบ
เสริมธรรมาภิบาลในเมียนมา
ประชาคมโลกสนับสนุนกรอบกฎหมาย EIA, registration เหมือง และการบังคับใช้ พร้อมบทลงโทษนักลงทุนต่างชาติที่หลีกเลี่ยงมาตรฐาน
วิจัยเทคโนโลยีสกัดสะอาด
ส่งเสริม R&D เหมืองชีวภาพ–ไฟฟ้าเคมี–เกษตร เพื่อลดการใช้สารเคมี และปลดล็อกศักยภาพการฟื้นฟูหลังเหมือง
บทสรุป
หากโลกยังเดินหน้ากวาดตุน REEs เพื่อ “พลังงานสะอาด” โดยไร้จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาแห่งอนาคตจะจารึกไว้ด้วยความเจ็บปวดของพรมแดนที่ไร้เสียงชาวบ้าน และทรัพยากรที่วิปริต การแก้ไขต้องเริ่มที่การยอมรับต้นทุน “สีเทา” ของ REEs และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส มีมาตรฐานสากล และแบ่งปันประโยชน์อย่างเท่าเทียมระหว่างประเทศผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้บริโภคเพื่อนำไปสู่อนาคตที่แท้จริง “สีเขียว” อย่างยั่งยืน
โดย นริศกร ปัญญาสุนทร | มูลนิธิต้นไม้สีเขียว
Kommentarer